จากโร้ดแมพจะเห็นได้ชัดเจนว่า "อินเทล"วันนี้วิ่งเร็วแซงหน้ากฎของมัวส์ (Moore's Law) ไปไกลแล้ว โดยกฎดังกล่าวจะอ้างอิงถึงจำนวนทรานซิสเตอร์ที่สามารถใส่เข้าไปในชิปวงจรรวม (IC: Integrated Circuit) ที่จะต้องเพิ่มขึ้นเป็น "สองเท่า" ในทุกๆ 2 ปี ในขณะเดียวกันมันยังหมายถึง ขนาดของชิปที่เล็กลงครึ่งหนึ่งในขณะที่ให้ประสิทธิภาพการทำงานเท่าเดิม หรือขนาดชิปเท่าเดิม แต่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ซึ่งจะเห็นว่า กฎดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงเส้น (Linear) แต่ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด หรือ exponential ซึ่่งเรากำลังพูดถึงการลดขนาดของทรานซิสเตอร์ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่เล็กลงเร็วมากในแต่ละปี ด้วยขนาด 14nm ยังหมายถึงการที่อินเทลกำลังจะเข้าสู่ข้อจำกัดของซิลิกอนในการผลิตทรานซิสเตอร์ที่มีขนาดตั้งแต่ 9 - 11nm อย่างไรก็ตาม อินเทลมั่นใจว่า จะสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดนั้นไปได้ โดยคาดว่าในปี 2015 อินเทลจะพัฒนาชิปที่ใช้เทคโนโลยีการผลิต 8nm
นอกจากนี้ Intel ยังมีความเชื่ออีกว่า ตลาดโมบายจะไปได้ไกลกว่าเดสก์ทอปมาก ดังนั้นทางบริษัทจึงมุ่งเน้นไปที่การทำให้ชิปมีขนาดเล็กลงให้มากที่สุดเท่าทีเป็นไปได้ โดยความลับของความสำเร็จดังกล่าวก็คือ เทคโนโลยี FinFETs ที่จะมีการใช้ในปีหน้า ซึ่งจะทำให้ทรานซิสเตอร์หนึ่งตัวสามารถทำงานได้ซับซ้อนขึ้นด้วยโครงสร้างแบบ multi-gate นั่นหมายความว่า ทรานซิสเตอร์หนึ่งตัวจะมีความสามารถในการคำนวณ หรือตัดสินใจได้มากกว่าระบบเดิม เทคโนโลยีนี้ช่วยลดจำนวนของขั้วไฟฟ้า และขนาดของชิปลงได้อีกด้วย ทั้งนี้ Otellini ยืนยันว่า Intel มีความพร้อมที่จะผลิตโพรเซสเซอร์ เพื่อสนับสนุนได้ทั้งตลาดพีซี และอุปกรณ์โมบายต่างๆ รายงานข่าวชิ้นนี้น่าจะช่วยให้คุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip หลายๆ ท่าน ที่กำลังสงสัยอยู่ว่า Intel จะมีทิศทางในการรุกตลาดนี้ ซึ่งปัจจุบันโดนคู่แข่งอย่างสถาปัตยกรรม ARM ครอบครองอยู่เกือบทั้งหมด (มากกว่า 4 พันล้านเหรียญฯ ในปีที่ผ่านมา)
แสดงบนเว็บไซด์ : http://www.it4x.com
ที่อยู่ของข้อความต้นฉบับ: http://www.arip.co.th/news.php?id=414929