รายงานข่าวล่าสุด แอมะซอน (Amazon) กำลังได้รับแรงกดดันอย่างหนักเกี่ยวกับการออกแบบเครื่องอ่านอีบุ๊ก "คินเดิ้ล" (Kindle) รุ่นต่อไป หลังจากการเปิดตัวไอแพด (iPad) ของแอปเปิล (Apple)
เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ New York Times รายงานว่า แอมะซอนได้ตัดสินใจซื้อบริษํทผู้ผลิตเทคโนโลยีหน้าจอระบบสัมผัสที่ชื่อว่า Touchco เพื่อเข้าไปอยู่ในส่วนของการพัฒนาคินเดิ้ล (Kindle) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากนั้น ทางบริษัทยังได้เปิดรับพนักงานมากกว่า 50 ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบฮาร์ดแวร์
โดยในข้อความประกาศรับสมัครงานนั้นมีตำแหน่งหนึ่งระบุว่า Hardware Display Manger หรือผู้จัดการฝ่ายฮาร์ดแวร์แสดงผล ซึ่งต้องการผู้สมัครที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจ LCD และรู้ดีว่าใครคือผู้เล่นรายสำคัญในตลาด ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ก่อนหน้านี้แอมะซอนชื่นชมกับจอ e-ink ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของคินเดิ้ล พร้อมทั้งชูจุดเด่นในเรื่องของความสามารถในการอ่านทีสบายตา และประหยัดพลังงานสามารถใช้งานได้นานหลายวันโดยไม่ต้องคอยชาร์จแบตฯอยู่ บ่อยๆ แต่จากข้อมูลข้างต้น มันเป็นไปได้ว่า คินเดิ้ลเวอร์ชันถัดไปอาจจะย้ายไปใช้จอ LCD แทน ซึ่งจะทำให้แอมะซอนสามารถไล่ตามไอแพดได้ทัน โดยเฉพาะการแสดงผลด้วยจอสี ภาพเคลื่อนไหว และวิดีโอ ตลอดจนการทำงานในระบบหน้าจอสัมผัสทีตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ทางทีมพัฒนาคินเดิ้ลยังต้องการผู้ร่วมงานทีเป็นผู้เชียวชาญทางด้าน Wi-Fi โดยเฉพาะอีกด้วย ซึ่งเป็นไปได้ว่า ทางบริษัทอาจต้องการขยับความสามารถในการเชื่อมต่อจากเดิมที่เป็น 3G อย่างเดียว การเพิ่มคุณสมบัติการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi ให้กับคินเดิลจะทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องซื้อผ่าน 3G ที่มีค่าใช้จ่าย แต่ไปใช้การสั่งซื้อผ่านบริการ Wi-Fi ที่มีให้ใช้บริการตามสถานที่ต่างๆ มากมาย
ตำแหน่งงานอื่นๆ ที่ทางแอมะซอนต้องการยังจะมีในส่วนของ Software Development Kit สำหรับคินเดิ้ล ทั้งนี้ เพื่อให้เหล่านักพัฒนาสามารถสร้างสรรค์ความสามรถในการทำงานใหม่ๆ ให้กับคินเดิ้ล โดยคาดว่าแอพฯต่างๆ ที่ออกมาจะผลักดันให้ผู้ใช้คินเดิ้ลเวอร์ชันปัจจุบันต้องอัพเกรดไปใช้ ฮาร์ดแวร์เวอร์ชันใหม่ เนื่องจากในทางเทคนิคแล้ว e-ink มีข้อจำกัดในการพัฒนาแอพพลิเคชันที่สามารถใช้งานได้อย่างดี (อัตราการรีเฟรชหน้าจอที่ช้ามาก) อย่างไรก็ตาม แม้แอมะซอนอาจจะต้องอัพเกรดคินเดิ้ลไปใช้จอ LCD แต่ก็ไม่อาจทิ้งจอ e-Ink ไปได้ เนื่องจากมีคู่แข่งจ่อรออยู่ในตลาดนี้มากมายไม่ว่าจะเป็น readers ของโซนี่ และ Nook ของ B&N เป็นต้น
ข้อมูลจาก: http://www.arip.co.th/news.php?id=410863
เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ New York Times รายงานว่า แอมะซอนได้ตัดสินใจซื้อบริษํทผู้ผลิตเทคโนโลยีหน้าจอระบบสัมผัสที่ชื่อว่า Touchco เพื่อเข้าไปอยู่ในส่วนของการพัฒนาคินเดิ้ล (Kindle) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากนั้น ทางบริษัทยังได้เปิดรับพนักงานมากกว่า 50 ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบฮาร์ดแวร์
โดยในข้อความประกาศรับสมัครงานนั้นมีตำแหน่งหนึ่งระบุว่า Hardware Display Manger หรือผู้จัดการฝ่ายฮาร์ดแวร์แสดงผล ซึ่งต้องการผู้สมัครที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจ LCD และรู้ดีว่าใครคือผู้เล่นรายสำคัญในตลาด ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ก่อนหน้านี้แอมะซอนชื่นชมกับจอ e-ink ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของคินเดิ้ล พร้อมทั้งชูจุดเด่นในเรื่องของความสามารถในการอ่านทีสบายตา และประหยัดพลังงานสามารถใช้งานได้นานหลายวันโดยไม่ต้องคอยชาร์จแบตฯอยู่ บ่อยๆ แต่จากข้อมูลข้างต้น มันเป็นไปได้ว่า คินเดิ้ลเวอร์ชันถัดไปอาจจะย้ายไปใช้จอ LCD แทน ซึ่งจะทำให้แอมะซอนสามารถไล่ตามไอแพดได้ทัน โดยเฉพาะการแสดงผลด้วยจอสี ภาพเคลื่อนไหว และวิดีโอ ตลอดจนการทำงานในระบบหน้าจอสัมผัสทีตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ทางทีมพัฒนาคินเดิ้ลยังต้องการผู้ร่วมงานทีเป็นผู้เชียวชาญทางด้าน Wi-Fi โดยเฉพาะอีกด้วย ซึ่งเป็นไปได้ว่า ทางบริษัทอาจต้องการขยับความสามารถในการเชื่อมต่อจากเดิมที่เป็น 3G อย่างเดียว การเพิ่มคุณสมบัติการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi ให้กับคินเดิลจะทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องซื้อผ่าน 3G ที่มีค่าใช้จ่าย แต่ไปใช้การสั่งซื้อผ่านบริการ Wi-Fi ที่มีให้ใช้บริการตามสถานที่ต่างๆ มากมาย
ตำแหน่งงานอื่นๆ ที่ทางแอมะซอนต้องการยังจะมีในส่วนของ Software Development Kit สำหรับคินเดิ้ล ทั้งนี้ เพื่อให้เหล่านักพัฒนาสามารถสร้างสรรค์ความสามรถในการทำงานใหม่ๆ ให้กับคินเดิ้ล โดยคาดว่าแอพฯต่างๆ ที่ออกมาจะผลักดันให้ผู้ใช้คินเดิ้ลเวอร์ชันปัจจุบันต้องอัพเกรดไปใช้ ฮาร์ดแวร์เวอร์ชันใหม่ เนื่องจากในทางเทคนิคแล้ว e-ink มีข้อจำกัดในการพัฒนาแอพพลิเคชันที่สามารถใช้งานได้อย่างดี (อัตราการรีเฟรชหน้าจอที่ช้ามาก) อย่างไรก็ตาม แม้แอมะซอนอาจจะต้องอัพเกรดคินเดิ้ลไปใช้จอ LCD แต่ก็ไม่อาจทิ้งจอ e-Ink ไปได้ เนื่องจากมีคู่แข่งจ่อรออยู่ในตลาดนี้มากมายไม่ว่าจะเป็น readers ของโซนี่ และ Nook ของ B&N เป็นต้น
ข้อมูลจาก: http://www.arip.co.th/news.php?id=410863