ตามรายงานข่าวระบุว่า Apple กำลังพัฒนาให้ iPhone 5 และ iPad 2 สนับสนุนเทคโนโลยีสื่อสารด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าระยะใกล้ (NFC: Near-Field Communication) ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคสามารถใช้อุปกรณ์ทั้งสองในการชำระค่าสินค้า และบริการได้แทนการใช้เงินสดจริงๆ หรือบัตรเครดิต Richard Doherty ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาทางด้านเทคโนโลยีจาก Envisioneering Group กล่าวว่า "iPhone 5 จาก AT&T และ iPad 2 จะมีชิป NFC ติดมาด้วย ซึ่งข้อมูลดังกล่าวมาจากวิศวกรที่อ้างว่ากำลังดำเนินงานในโครงการนี้"
สำหรับเทคโนโลยี NFC จะทำให้อุปกรณ์ต่างๆ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันในระยะใกล้ๆ ได้ (ปกติไม่เกิน 4 นิ้ว) ตัวอย่างการใช้งานก็เช่น การทำให้อุปกรณ์มือถือที่ติดตั้ง NFC สามารถส่งข้อมูลการชำระค่าสินค้า หรือบริการไปยังบัญชีธนาคาร เพียงแค่นำมือถือไปไว้ใกล้ๆ กับเครื่องรับสัญญาณ ด้วยวิธีนี้ผู้ใช้ iPhone 5 และ iPad 2 จะสามารถซื้อสินค้าจากร้านค้า หรือชำระค่าอาหารในภัตตาคาร ตลอดจนธุรกิจค้าปลีกต่างๆ ซึ่งคุณสมบัติการทำงานใหม่นี้จะทำให้ iPhone 5 และ iPad 2 กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของบัตรเครดิตทันที ความจริง Apple สนใจเทคโนโลยี NFC มาตั้งแต่ปีทีแล้ว
คำถามคือ การใช้เทคโนโลยี NFC นอกจากผู้บริโภคจะได้รับความสะดวกสบายแล้ว ในวงจรธุรกิจมีใครได้ใครเสียอะไรกันบ้าง? ซึ่งในทางธุรกิจ Apple ก็เหมือนกับบริษัททั่วไปที่ใช้บริการบัตรเครดิตในการรับชำระค่าบริการ อย่างเช่น การซื้อเพลงตลอดจนแอพฯต่างๆ จากบริการของ iTunes ก็จะมีการชำระผ่านบัตรเครดิตที่ผูกกับบัญชีผู้ใช้ ซึ่งการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถจ่ายค่าคอนเท็นต์บน iTunes ด้วย iPhones ของพวกเขาผ่าน NFC นั่นก็จะทำให้ Apple สามารถตัดส่วนแบ่งของรายได้ที่ต้องแบ่งให้กับ Visa หรือ MasterCard ได้นั่นเอง ในส่วนของผู้ใช้ที่เป็นนักเทคโนโลยีสักหน่อย NFC จะช่วยให้พวกเขาสามารถถ่ายโอน และแชร์ไฟล์ต่างๆ ตลอดจนการตั้งค่าระหว่างสมาร์ทโฟนที่ติดตั้ง NFC หรือกับพีซีได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวเปิดเผยว่า Google จะใช้เทคโนโลยีนี้กับสมาร์ทโฟน Nexus S มือถือแอนดรอยด์รุ่นใหม่ด้วยเช่นกัน โดยในระบบปฏิบัติการอย่าง Android 2.3 หรือ Gingerbread จะสนับสนุนการทำงานร่วมกับชิป NFC ได้อยู่แล้ว ทั้งนี้ทาง Apple กำลังอยู่ในระหว่างเตรียมการเปิดให้บริการชำระค่าบริการผ่านอุปกรณ์โมบาย (mobile payment) ด้วยเทคโนโลยีดังกล่าวในช่วงกลางปีนี้ ฟังดูน่าสนใจดีนะครับ แต่ประเด็นที่น่ากังวลก็คือ ต่อไปเวลามือถือหายก็จะหมายถึงกระเป๋าตังค์หายไปด้วยน่ะสิ :(
เว็บไซต์ในข่าว: Apple
แสดงบนเว็บไซด์ : http://www.it4x.com
ที่อยู่ของข้อความต้นฉบับ: http://arip.co.th/news.php?id=413068