ศาลฎีกาฯ สั่งยึดทรัพย์ "ทักษิณ" 46,737 ล้าน
องค์คณะผู้พิพากษามีมติเอกฉันท์ พิพากษาสั่งยึดทรัพย์ “พ.ต.ท.ทักษิณ” อดีตนายกฯ 4.6 หมื่นล้าน
วันนี้ (26 ก.พ.) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังองค์คณะผู้พิพากษา ทั้ง 9 ท่าน ซึ่งประกอบไปด้วย
1.นายสมศักดิ์ เนตรมัย ผู้พิพากษาอาวุโสศาลฎีกา
2.นายธานิศ เกศวพิทักษ์ ประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา
3.นายพิทักษ์ คงจันทร์ ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา
4.นายพงศ์เทพ ศิริพงศ์ติกานนท์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา
5.นายอดิศักดิ์ ทิมมาศย์ ประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา
6.ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
7.นายประทีป เฉลิมภัทรกุล ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา
8.นายกำพล ภู่สุดแสวง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และ
9.นายไพโรจน์ วายุภาพ รองประธานศาลฎีกา ได้พิพากษาตามคำร้องของอัยการสูงสุด ที่ยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 25 ส.ค.51 ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ และได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวม ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จำนวน 76,621,603,061.05 บาท พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน นั้น ได้กล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีออกมาตรการต่าง ๆ 5 กรณี เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ บริษัท ชินคอร์ป และบริษัทในเครือ 5 กรณี มีมติดังนี้ องค์คณะผู้พิพากษามีความเห็นเอกฉันท์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นชินคอร์ปกว่า 1.4 พันล้านหุ้น ในระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้ง 2 วาระ
องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากมีความเห็นกรณีการแปรสัญญาสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตในกิจการโทรคมนาคมว่า ผู้ถูกกล่าวหา (พ.ต.ท.ทักษิณ) ได้ใช้อำนาจหน้าที่ในการตรา พ.ร.ก. 2 ฉบับ และประกาศ ก.คลัง รวมทั้งมีมติ ครม.ให้นำภาษีสรรพสามิตออกจากสัญญาสัมปทาน ถือเป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายอื่น และเอื้อประโยชน์ต่อ บ.ชินคอร์ป อันเป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหาย รูปคดีนี้จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่า ลิดรอนอำนาจของ กทช.อีกต่อไป
องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมาก เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ แปลงค่าสัมปทานแก้สัญญามือถือ โดยลดส่วนแบ่งรายได้บัตรเติมเงินให้ ทศท. เอื้อประโยชน์ให้แก่ บ.ชินคอร์ปฯ
องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมาก เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีส่วนเกี่ยวข้อง และได้รับประโยชน์แก้สัญญาอนุญาตกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ส่วนกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม (ROAMING) ตกแก่กลุ่มเทมาเส็ก ของประเทศสิงคโปร์ ไม่เกี่ยวข้อง กับ พ.ต.ท.ทักษิณ
มติองค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากว่า เห็นว่า กรณีอนุมัติโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์เป็นการเอื้อประโยชน์ บ.ชินคอร์ป และ บ.ไทยคม
มติองค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่า กรณีการลดสัดส่วนการถือหุ้นของ บ.ชินคอร์ปฯ ที่เป็นผู้ขออนุมัติสร้าง และส่งดาวเทียมไทคม และการอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ เป็นการเอื้อประโยชน์กับ บ.ชินคอร์ปฯ และ บ.ชินแซทฯ
มติองค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมาก เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ให้รัฐบาลพม่ากู้เงิน-เพิ่มวงเงินกู้ จากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) โดยให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าทุน รวมทั้งขยายระยะเวลาปลอดการชำระหนี้ เพื่อประโยชน์ของ บ.ชินคอร์ป และ บ.ชินแซทฯ เพื่อนำไปซื้อสินค้า และบริการของบริษัทชินแซทฯ
ศาลจึงสั่งยึดเงินที่ได้จากการขายหุ้น บ.ชินคอร์ป และ บ.ชินแซทฯ เป็นจำนวนเงิน 46,373 หมื่นล้าน.